...

ระดับความสำเร็จ :

Contact 1997 อุบัติการณ์สัมผัสห้วงอวกาศ

  • วันที่เผยแพร่

    January, 2024

จะเกิดอะไรขึ้นถ้า.. เราเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในจักรวาล ถ้าจริงคง เวิ้ง ว้าง ว่าง เปล่า นี่เป็นการตั้งคำถามปลายเปิดตั่งแต่ต้นเรื่องจนจบในตอน แล้วมันจะเป็นอย่างไรต่อไปต้องพิสูจน์

”เอลลี่” ดร.เเอเลียนอร์ แอโรเวย์ ตรวจจับคลื่นสัญญาณจากดาวเวก้า ที่ส่งคลื่นสัญญาณถ่ายทอดสดกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1936 ตัวหนังมีความคล้ายกับเหตุการณ์ดาวฤกษ์ในกลุ่มดาวคนถือธนู “ส่งสัญญาณว้าว!” มาถึงโลกเมื่อ 43 ปีก่อน เป็นรหัสตัวเลขจำนวนเฉพาะที่หารแล้วไม่ลงตัว ตามด้วยรหัสพิมพ์เขียวซ้อนอยู่ในเฟรมของวีดีโอจำนวนมาก ซึ่งหลังจากถอดรหัสแล้วพบว่าเป็นโครงสร้างเครื่องจักรเดินทางไปยังดาวเวก้า จนเกิดเป็นโครงการที่นานาชาติทั่วโลกต่างมาร่วมลงทุนด้วยเงินมหาศาล และคัดเลือกตัวแทนมนุษยชาติเพื่อเดินทางไปไขคำตอบว่า เราเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในจักรวาลนี้หรือไม่? โดยหนังออกฉายปี พ.ศ. 2540 กำกับโดยโรเบิร์ต เซเม็กคิส (ผลงาน Back To The Future 1-3 และ Forrest Gump)

อุบัติการสัมผัสห้วงอวกาศ CONTACT (1997) ดัดแปลงจากนวนิยายของคาร์ล เซแกน ในชื่อเดียวกันให้อารมณ์เกี่ยวกับความหวัง และยังได้รับรางวัลมากมาย คือ The Hugo Award for Best Dramatic Presentation Multiple awards and Nominations Saturn Awards เป็นต้น

บรรยากาศหนังโดยรวมดูแล้วเข้าใจง่าย ฟิลกู้ด สะท้อนถึงปรัชญา ความร่วมมือของทุกประเทศ การแสวงหาผลประโยชน์จากสิ่งที่ค้นพบ ศรัทธา และวิทยาศาสตร์ ดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ แต่จะเต็มไปด้วยคำถามปลายเปิดระหว่างวิทยาศาสตร์กับศาสนา โดยตามความเชื่อของเจ้าตัวที่ยึดถือในสิ่งที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น ตั้งแต่ยังเด็กหนังเปิดเผยว่าสนใจคลื่นสัญญาณวิทยุ เพราะต้องการติดต่อกับแม่ที่จากไปแล้วก่อนจำความได้ โดยมีพ่อคอยสนับสนุนอยู่จนจากไปด้วยโรคหัวใจล้มเหลว เมื่อโตขึ้นก็สานต่อพยายามค้นคว้าวิจัยจนเชี่ยวชาญจบด็อกเตอร์ทางด้านนี้โดยตรง และหาทางสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตนอกโลกอยู่ตลอดเวลา โดยใช้ทุนของภาครัฐทำการวิจัยสแกนไปตามดวงดาวต่างๆ ในจักรวาลที่หอดูดาวอาเรซิโบ จนเวลาต่อมา สังคมได้ตั้งข้อสงสัยมองเข้ามาว่า…สิ่งที่ทำอยู่ล้วนเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ไม่ก่อประโยชน์ให้กับประเทศชาติ จึงต้องย้ายออกมาระดมทุนด้วยตัวเอง

หลังจากนั้น ได้เช่าแนวกล้องโทรทรรศน์วิทยุที่รัฐนิวเม็กซิโก เป็นเวลานานถึง 5 ปี วันหนึ่งก็จับสัญญาณที่ถูกส่งมาจากดาวเวก้าได้จนกลายเป็นเรื่องโด่งดังไปทั่วโลก มีความพยายามแปลภาษา ถอดรหัสอยู่เกือบ 2 อาทิตย์ จนผู้ให้ทุนวิจัยเห็นว่าทางรัฐจะเขี่ยเอลลี่ทิ้งจากโปรเจค จึงได้หากุญแจแกะรหัสข้อความจนสำเร็จ ในความคิดของคนจะมองในมุมภาพแค่ 2 มิติ แต่ข้อความถูกเข้ารหัสในรูปแบบ 3 มิติ มนุษย์ต่างดาวอยู่ในมิติที่สูงกว่า จึงต้องทำหลายกระบวนการขั้นตอนเพื่อให้สื่อสารกับมิติต่ำกว่าให้เข้าใจง่าย และชัดเจนตามเฉลยของบทหนัง จากนั้นนาซ่าได้จัดแข่งขันคัดเลือกตัวแทนชาวโลกเพื่อเดินทางไปกับยานอวกาศ โดยมีหนึ่งในกรรมการคัดเลือก คือ แมททิว แมคคอนาเฮย์ เป็นที่ปรึกษาด้านศาสนาให้กับทำเนียบขาวรวมถึงคนรักคู่พระนาง ไม่ต้องการให้เดินทางไปได้ตั้งคำถามสุดท้ายไว้ว่า “คุณเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?” ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ปฎิเสธการมีอยู่ของพระเจ้า ผู้สร้างสรรพสิ่ง ทุกอย่างเกิดขึ้นแบบมีเหตุมีผลทางวิทยาศาสตร์รองรับจึงได้เสียคะแนนตกรอบไป ซึ่งคณะกรรมการให้เหตุผลว่า การจะส่งตัวแทนชาวโลก ซึ่งกว่า 95% เชื่อในพระเจ้าของศาสนาตนเอง ถ้าคนนั้นไม่เชื่อในพระเจ้าจะไม่สามารถเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติได้ ฉากอารมณ์นี้ขณะที่มีการตอบคำถามต่อหน้ากรรมการสอบ ตั่งแต่สีหน้า จนถึงท่าทาง เป็นหนึ่งในฉากที่สร้างไว้ดีมาก


กล้องโทรทรรศน์วิทยุอาเรซีโบ มีขนาดใหญ่มากแห่งหนึ่งเส้นผ่านศูนย์ 305 เมตร และตั้งอยู่ในประเทศเปอร์โตริโก ถูกสร้างขึ้นในวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2503 เพื่อใช้ในการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ เช่น การหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์ การค้นพบพัลซาร์ และการสำรวจสิ่งมีชีวิตนอกโลก ปัจจุบันเลิกใช้งานแล้ว เพราะว่าเดือนธันวาคมปี พ.ศ. 2563 ตัวสายเคเบิลเกิดการฉีกขาดขึ้น จนฐานที่รองรับอุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ ได้ตกลงมากระแทกจานรับสัญญาณที่บอบบางเบื้องล่าง ซึ่งมีน้ำหนักกว่า 900 ตัน จนโครงสร้างลงในที่สุด เคยปรากฏอยู่ในภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น Contact (1997) หรือแม้แต่ James Bond : Golden Eye (1995) เป็นต้น และจานรับที่สุดในโลกเวลานี้อยู่ในประเทศจีน ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่า 500 เมตร ใหญ่กว่าจานรับสัญญาณที่อาริซีโบเกือบ 2 เท่า

แม้ว่า ความสัมพันธ์ของคู่พระนางเหมือนจะเป็นคนละขั่วเข้ากันไม่ได้ แต่ทั้งสองก็ตกลงเป็นแฟนกัน ซึ่งเชื่อว่าต้องการชูประเด็นหามุมมองที่เหมาะสม แม้ความเชื่อจะต่างขั้วกันก็สามารถยืนอยู่ในจุดเดียวกันได้ จนเมื่อถึงวันปล่อยยานอวกาศได้มีเหตุวางระเบิดฆ่าตัวตายจากเจ้าลัทธิต่อต้านศาสนาทำให้ผู้ชนะการแข่งขันในรอบแรกต้องเสียชีวิตไป แต่ปรากฎว่าประเทศญี่ปุ่น และมหาเศรษฐีผู้ให้ทุนวิจัย ได้แอบเลียนแบบสร้างไว้อย่างลับๆ จึงเป็นหน้าที่ของนางเอกได้ไปเองสมใจ!

โดยจะมีกล้องสำหรับบันทึกวีดีโอเพื่อส่งสัญญาณกลับมายังโลก ซึ่งตอนปล่อยยานอวกาศเชื่อว่ามีการเดินทางผ่านรูหนอน (Wormhole) หรือ “สะพานไอน์สไตน์ โรเซน (Einstein-Rosen  Bridge)” เป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยการสร้างทางลัดในการเดินทางในอวกาศ โดยบิดพับหรือทำให้ปริภูมิเวลา (Space Time) โค้งงอ ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นทฤษฎีที่อธิบายช่องทางลัดสำหรับเดินทางผ่านห้วงอวกาศอันยาวไกลจากจุดหนึ่งไปสู่จุดหนึ่งด้วยเวลาอันสั้น ขณะที่ยานอวกาศกำลังเพิ่มอัตราเร่งให้สูงขึ้น ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอสไตน์เมื่อมวลเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง จะเกิดเป็นพลังงานที่สูงมาก แรงดึงดูดทุกอย่างเข้าหาศูนย์กลางจึงเกิดเป็นการเดินทางผ่านเข้าไปในรูหนอนที่กาลเวลาบิดโค้งงอได้ โดยดาวเวก้าอาจจะเป็นที่อยู่ของอารยธรรมก้าวหน้า สามารถจินตนาการได้ว่าโลกนั้นไม่ได้มีแค่ 4 มิติ แต่ยังมีมิติที่ 5 ช่วยตอบโจทย์ความสงสัยที่ผ่านมาทั้งชีวิตได้หมด เขาในหนังยังบอกด้วยว่า ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้พระเจ้าเป็นผู้สร้าง ส่วนการจอดยานไม่ได้ปรากฎไว้อย่างชัดเจน แต่ได้มีการลงไปเดินที่ชายหาดตรงกับภาพวาดแรกตอนต้นเรื่อง และได้เจอพ่อที่จากไปแล้ว จนกลับมาถึงโลกปัจจุบันรวมเป็นเวลาเดินทางทั้งหมด 18 ชั่วโมง

 width=

แนวกล้องกล้องโทรทรรศน์วิทยุรัฐนิวเม็กซิโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ฉากที่นางเอกเจอสัญญาณครั้งแรกถูกส่งมาจากดาวเวก้า อยู่ในกลุ่มดาวพิณ นักดาราศาสตร์ พบว่า เป็นหนึ่งในดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุด และมีชื่อเสียงบนท้องฟ้ายามค่ำคืน มีการส่ายเล็กน้อย ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง

เมื่อนางเอกกลับมาที่โลกแล้ว เจ้าหน้าที่ทุกคนของสถานีบอกตรงกันว่ายานอวกาศไม่ได้ไปไหน ตอนที่ปล่อยยานอวกาศแล้ว ล่วงหล่นลงไปยังตาข่ายรองรับทันที ซึ่งนางเอกพยายามแก้ต่างบอกเล่าประสบการณ์มากมาย แต่ไม่มีใครเชื่อเลยจนเป็นคำถามจากสาธารณชนว่า ตกลงแล้วได้ไปนอกโลกจริงหรือเปล่า?

ภาพวีดีโอที่ถูกบันทึกไว้จะเห็นเพียงยานอวกาศตกลงสู่ตาข่ายรองรับไม่กี่วินาที ซ้ำร้ายกล้องวีดีโอไม่มีบันทึกภาพอะไร นอกจากวีดีโอสแตติกทำให้ทุกคนคิดตรงกันว่าไม่ได้มีการเดินทางไปไหนเลย จึงเป็นที่มาของการถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนระดับชาติ ตัวบทหนังได้แสดงย้อนไปกลับยังความเชื่อเดิมของพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์จับต้องได้เท่านั้น ซึ่งหลักฐานพิสูจน์การเดินทางไปยังดาวเวก้านั้นไม่มีเลย มีเพียงแค่คำบอกเล่าจากประสบการณ์ เหมือนตอนแรกที่เจ้าตัวเคยปฎิเสธว่าไม่มีพระเจ้า เพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้จับต้องไม่ได้ จุดนี้จึงเป็นการตั้งคำถามเชิงปรัชญาว่า ทำไมคนทั้งโลกส่วนใหญ่ยอมรับความเชื่อการมีอยู่ของพระเจ้าในหลายๆ รูปแบบของแต่ละศาสนา…อย่างไร?

หมายเหตุ : ภาพและวีดีโอในบทความเรื่องนี้ มาจากฐานข้อมูลของเว็บไซต์อื่นๆ หากว่ามีการถูกลบหรือโยกย้ายจะส่งผลให้ไม่แสดงผลตามไปด้วย



คุณเชื่อในพระเจ้าหรือไม่? ซึ่งตอนแรกเอลลี่เลือกจะเชื่อเพียงหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ แต่หลังจากกลับมาจากดาวเวก้าแล้ว ตนไม่มีหลักฐานอะไรสามารถพิสูจน์การเดินทางครั้งนี้ มีเพียงแค่คำพูดบอกเล่าประสบการณ์ เท่านั้น ไม่มีอะไรพิสูจน์ถึงการมีอยู่ของพระเจ้า บทหนังสะท้อนคำถามเชิงปรัชญาว่า ทำไมคนทั้งโลกถึงสามารถเชื่อการมีอยู่ของพระเจ้าในหลายๆ รูปแบบได้อย่างสนิทใจทั้งที่ไม่มีหลักฐานบ่งบอกถึงการมีตัวตนหรือเปล่า

ความเห็นชาวเน็ต

ยานอวกาศมีผนังที่ปิดหมด แต่ทำไม? ระหว่างเดินทางกลับมองเห็นภายนอก

เชื่อได้ว่าเป็นเทคโนโลยีของชาวเวก้า ไม่มีช่องหน้าต่างทำให้โครงสร้างแข็งแรงทนทาน และช่วยป้องกันรังสีคอสมิกที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต ยกเว้นแสงในช่วงมนุษย์มองเห็นทะลุผ่านได้

ทำไมตอนที่ยานอวกาศถูกดูดเข้าไปในอุโมงค์รูหนอนถึงมีการหยุด 3 ครั้ง

คิดว่าเป็นเทคโนโลยีการสร้างรูหนอนให้ยานอวกาศสามารถวาร์ป 3 ครั้ง เพราะระยะทางไกลมากๆ จึงต้องพลังงานมหาศาล เลยน่าจะแบ่งเป็นช่วงตามระยะทาง หรืออาจประหยัดพลังงานในการสร้างรูหนอน สังเกตุครั้งแรกตอนวาร์ประบบดาวฤกษ์นั้นดูเหมือนเพิ่งเกิดใหม่ และน่าจะเป็นแหล่งพลังงานดูจากลักษณะคล้ายโซล่าเชลล์หรือเปล่า และตามหนังเฉลยไว้แล้วว่า ชาวดาวเวก้าสามารถติดต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทั่วจักรวาลเลย เพราะมีพระเจ้าทรงสร้างระบบเครือข่ายการวาร์ปไว้ เหมือนชุมทางสายโทรศัพท์

  • ครั้งแรก หยุดที่บริเวณรูหนอน
  • ครั้งที่สอง หยุดตรงระบบดาวคิดว่าเป็นสถานีเครื่องวาร์ป
  • ครั้งที่สาม หยุดที่วงโคจรของดาวเคราะห์เวก้า

คณิตศาสตร์เป็นภาษาสากล แต่สัญญาณที่ส่งมาต้องเป็นจำนวนเฉพาะด้วย

คิดว่าบ่งบอกถึงความเจริญของอารยธรรมไม่ใช่แค่เลขสุ่ม ต้องเฉพาะเจาะจง (Prime Numbers) และโปรแกรมที่เขียนมาให้ไล่เลขจำนวนเฉพาะได้อัตโนมัติน่าจะต้องเป็นเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนก้าวหน้าอย่างมากด้วย และจำนวนเฉพาะที่รับได้นั้นมันไม่ใช่สัญญาณมั่วๆ ในอวกาศ

ชาวดาวเวก้าสามารถแปลงกายอยู่มิติที่สูงกว่า หรือพัฒนาล่วงหน้าไปนานแล้ว

เห็นด้วย

นางเอกที่มากับยานอวกาศ เข้า-ออกอย่างไร? เพราะว่าประตูปิดสนิทแน่นไม่น่าจะเปิดได้เอง

คิดว่าหลังจากนางเอกได้ไปถึงที่นั่นจริง แต่ไม่ได้ออกจากยาน ชาวดาวเวก้าอาจส่งนิมิตเป็นคลื่นพลังงานเข้ามาในสมองโดยตรงเลย

ทำไมชาวดาวเวก้าจึงไม่ยอมให้นางเอกอยู่ต่อ แต่ให้กลับเร็วไปไหม

คิดว่าเป็นการทดสอบเบื้องต้นเพื่อดูความพร้อมของมนุษย์หรือเปล่า ในหนังเฉลยไว้ว่ายังมีการเดินทางแบบนี้อีกเรื่อยๆ ส่วนตัวเอลลี่เองก็พอใจสำหรับการเดินทางมาในครั้งนี้แล้ว ชาวดาวเวก้าได้เอ่ยขึ้นตอนส่งกลับว่า เราทำอย่างนี้เพราะคิดว่าคุณน่าจะสบายใจขึ้น และเป็นปลายเปิดไว้สำหรับ… ถ้ามีภาคต่อยุคอวกาศใหม่เดินทางไปทั่วจักรวาลด้วยชุมสายโทรศัพท์ประมาณนี้

มีความเป็นไปได้ไหมที่เราจะสร้างรูหนอนแบบในหนัง

คิดว่าเป็นไปได้แต่ในหนังนางเอกเดินทางข้ามเวลา และอาจจะผ่านมิติอื่นๆ ไปด้วยพร้อมกัน (Multiverse) จะมีช่วงแวปหนึ่งที่เห็นหน้าตัวเองแยกเป็นสองหน้า ซึ่งอาจเป็นช่วงที่มีเรา 2 คนในมิติต่างๆ คู่ขนานกันไปมาบรรจบกันทำให้เราเห็นหน้าตัวเองได้ในอีกมิติหนึ่ง หรืออาจเป็นแค่ภาพสะท้อนความคิดจิตใจก็ย่อมได้ ส่วนเรื่องความใกล้เคียงในยุคปัจจุบันยังอีกยาวไกลมาก แต่ในทางทฤษฎีก็มีนักฟิสิกส์ให้ความคิดเห็นว่าเป็นไปได้อยู่ เห็นมีการตั้งทฤษฎีเพื่อศึกษาสสารมืดในอวกาศ Dark matter บ้างแล้ว

ลองแนะนำหนังแนววิทยาศาสตร์มา 7 เรื่อง

Close Encounters of the Third Kind

A Space Odyssey

Mission to Mars

Interstellar

Oppenheime

Arrival

Don’t Look Up

แท็กสำคัญ » วิทยาศาสตร์ | หนังไซไฟ

43 Comments

  1. Robertasymn

    26 years ago, my wife and I watched this movie together. It was our first date a few days after we met. This movie is science fiction, but at the same time it has such a romantic and full of emotion atmosphere … our first kiss was during the section. Things that a great movie in traditional movie theater can provide. Great memories!

    Reply
  2. Salvatore

    Hi

    I watched this on tv at 2 am when i was a lil, everyone was sleeping and the atmosphere was soo scary and mysterious. it turns out to be one of my favorite movies ever<3

    Reply
  3. JamesNaf

    There is no such thing as a perfect person, but someone’s heart can have a perfect intention

    Reply
  4. Stanley Macqueen

    My earth science teacher in 10th grade made our class watch this movie. There was a bomb threat that day so we didn’t get to finish it but when I got home I ran to the video store to rent it on vhs and finished it. What an amazing movie.

    Reply
  5. Jerrylow

    The chair wasn’t included in the engineering schematics that were sent by the aliens but was added anyway. Then it breaks apart, showing how it was stupid to alter the design. I think its implied by how violently it slams to the ceiling that if Ellie had been sitting in it she would have been seriously hurt.

    Reply
  6. Amelia Brown

    this part in particular portrayed the deepest kind of childlike awe at the grandeur of the universe.. the feeling of being tiny and insignificant.. but then it ends with ellie meeting her long lost father.. and experiencing an overwhelming love. if heaven exists, i imagine this is similar to what it might be like

    Reply
  7. Jerrylow

    I absolutely love this era of special effects. I’m probably biased because I was a kid then, so I grew up on this stuff. But there is just something about those late 90s early 2000s special effects that are somehow both cheezy and bad, yet amazing at the same time

    Reply
  8. Phil Stewart

    Fellas, this is by far, the best part of the movie….

    Reply
  9. Mei

    That signal noise has stayed with me since seeing it in 1997 on the big screen. Fabulous movie. And the entire thing is plausible too. I highly recommend watching it.

    Reply
  10. นักมายากลแห่งรัสเซีย

    Contact เป็นหนังแนวปรัชญา-ไซไฟมากกว่า นางเอกไม่เชื่อในพระเจ้า เพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่เรื่องก็กลายเป็นย้อนเข้าตัว เมื่อตัวเองได้ไปสัมผัสประสบการณ์ที่ตัวเองไม่สามารถนำหลักฐานมาให้คนอื่นเชื่อได้เช่นกัน

    Reply
  11. DavidGeday

    มนุษย์ต่างดาวรู้แต่แรกว่า ไม่มียานใดจะพาคนเดินทางไปได้ไกลขนาดนั้น ไม่ว่าจะเร็วเกินแสง ยังต้องใช้เวลานับล้านๆปี.. ดังนั้นทั้งหมดนี่ เป็นเพียงอุปกรณ์สื่อสารขนาดใหญ่.. ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้มันตกลงมา เช่นห้อยด้วยสลิง หรือตรึงเอาไว้ตรงกลางวงแหวน-ลุกบอลที่กำลังหมุน แต่ทำแบบนั้น ก็จะไม่ตื่นเต้น เพราะคนดูคาดหวังให้มันดีดกระเด็นออกไปแบบจรวด ..อีกอย่างถ้าตกลงมาจริง ด้วยความสูงขนาดตึก 20 ชั้น คนข้างในต้องตายแน่นอน(ห้อยเอาไว้จึงดีที่สุด) … Contact (Jodie Foster.. เรื่องท้ายๆ ที่เธอยังคงมีชื่อเสียง).. Pensacola Florida

    Reply
  12. DavidGeday

    จุดสูงสุดของมนุษย์ คือ ความงดงาม เพียบพร้อม สมบูรณ์แบบ ซึ่งในแต่ละคนจะต่างกันไป สำหรับ ดร.อิลินอร์ สิ่งนั้นคือ พ่อของเธอเองกับเมือง(จำชื่อไม่ได้)ที่เธอคิดว่ามีทะเลสวยมากตั้งแต่ตอนเด็กๆ(ตามภาพที่เธอวาด) จริงๆในหนังสือ มีไปกันทั้งหมดหกคนนะครับ ถ้ารักษาตรงนี้ไว้ได้จะเกิดประเด็นใหม่ขึ้นมาคือ ทุกคนไปเจอสิ่งที่ไม่เหมือนกันเลย(ขึ้นอยู่กับความคิดฝันของแต่ละคน) แต่โจดีย์ ฟอสเตอร์ เธอเก่งมากคือ สามารถทำให้ในหนังกลายเป็น เธอไปคนเดียวได้ ประเด็นตรงนี้เลยคลุมเครือว่า ไปหรือไม้ได้ไปกันแน่ ถ้าไปไปเจออะไร ขืนขึ้นศาลบอกไปเจอพ่อ คุกแหงๆ ซึ่งแม้พ่อของเธอ อยู่ในห้วงจินตนาการของเธอหรือมีตัวเป็นๆให้จับต้องได้ ก็ยังไม่รู้(โยนความผิดไปให้มนุษย์ต่างดาว) จะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทุกคนพยายามมาทั้งหมด กลายเป็นจินตนาการ คงไม่มีใครรับได้ ถ้าไปกันหกคนแต่ละคนให้การตามความฝังใจของตนเอง ถ้าไม่เหมือนกันเลย คำตอบจะเป็น ความงดงาม เพียบพร้อม สมบูรณ์แบบ เป็นสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของแต่ละคน ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว จะพอได้ประเด็นตรงนี้อีกประเด็นนะครับ แต่นี่ไปคนเดียว แต่ผมก็ชอบนะ คือ สรุปอะไรแทบไม่ได้ เพราะหนังเล่นกับจินตนาการของคน ผมคิดเหมือนคุณเจ้าของกระทู้นะครับว่าเหมือนนำเรื่องทางวิทยาศาสตร์มาพยายามอธิบายสิ่งสูงสุดทางศาสนา สำหรับทางพุทธผมคิดว่า หนังกำลังพยายามอธิบาย สังขารขันธ์ ทางรูปขันธ์ ก็ต้องขึ้นศาลอ่ะครับ คงเถียงกันยาว หนังตีค่าจุดสูงสุดของชีวิตมนุษย์ไว้ที่ ความงดงาม เพียบพร้อม สมบูรณ์แบบ อย่างเดียวครับ

    Reply
  13. Mike Pearcy

    ภาพยนต์เรื่องนี้ เป็นแรงบันดาลใจและมีคุณภาพในระดับ 10/10 เลยทีเดียว

    ตัวหนัง ไม่ได้เน้นในทางปรัชญามากนักครับ แต่เป็นทั้งวิทยาศาสตร์ – Fantasy เนื้อหาทางวิทยาศาสตร์ก็นำเสนอได้อย่างถูกทาง ในเรื่องของการใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุ ในการค้นหาสัญญาณจากนอกโลก มีการแสดงการทำงานใน Lab ของเป็นชีวิตจริงของนักวิจัย – นักดาราศาสตร์ ว่าจะต้องมุ่งมั่นกับงานเช่นนี้เพียงไร และต้องมีความพยายามกับการหาเงินทุนมาทำงานมากเพียงใดครับ

    ส่วนเนื้อหาทาง Fantasy ก็สร้างสรรค์ได้ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นจุดขายเลยก็ว่าได้ เพราะคนดูจะชอบเรื่องราวแนวนี้อยู่แล้ว หากเสนอเรื่องการทำงานของนักดาราศาสตร์เพียงอย่างเดียว อาจเป็นที่น่าเบื่อได้ครับ
    Plot เรื่องราว Fantasy ที่เกี่ยวกับมนุษย์ทรงปัญญาได้ส่ง “แบบแปลน” ของเครื่องเดินทางในอวกาศ เนี่ย ผมว่าเป็น plot เรื่องที่ลงตัว และมีการได้มาที่แยบยลมาก มีการถอดรหัสข้อมูลที่รับได้จาก VLA
    จนกระทั่งสร้างเครื่องมือเดินทางนั้นได้

    สำหรับเนื้อหาตอนท้ายเรื่อง ที่นางเอกรายงานสถานการณ์ที่พบเจอในการเดินทางไปดาวเคราะห์ในระบบดาวฤกษ์ VEGA ประเด็นนี้ ผมว่ายังมีความเป็นวิทยาศาสตร์อยู่ครบถ้วนครับ เพราะนางเอกไม่ได้มีความเชื่ออื่น ๆ เลย นางเอกมีประสพการณ์ที่จะ “พยายาม” อธิบายเท่านั้น แต่ด้วยความรู้และเทคโนโลยีในขณะนั้น คณะกรรมการวิทยาศาสตร์จึงเห็นว่าสิ่งที่เธอพบเจอมาเป็นเรื่องไร้สาระ ….

    อันนี้ในมุมมองของผมผู้สร้างภาพยนต์เจตนาเสนอเรื่องวิทยาศาสตร์ล้วนครับ แต่ก็ยังมีสภาพความจริงอยู่อย่างหนึ่ง ว่า ถึงแม้นักวิทยาศาสตร์เอง ที่เห็นกับตาว่ายานเดินทางข้ามอวกาศนั้น “ไม่ได้ไปใหนเลย”
    จึงคิดไปว่านางเอกเพ้อเจ้อ ซึ่งสิ่งนี้ ยังไม่เหมือนความเชื่อในประเด็นศาสนานะครับ (ตามความเห็นผม) และในส่วนหนึ่งก็มีหนึ่งใน จนท.บอกว่า นาฬิกาใน capsule บันทึกเวลาได้หลายสิบนาที ในขณะที่ capsule เหมือนแค่ “ตก” ลงน้ำไปแค่นั้น

    Reply
  14. Marikaaugmep7343

    ผลของการยืดของเวลา (time dilation) จะสังเกตได้กับการเคลื่อนที่ในยานที่เร็วจัดๆ (speeding spaceship) แต่สำหรับการเคลื่อนที่ผ่านรูหนอนอย่างที่นางเอกเจอนั้น คิดว่ายังฟันธงไม่ได้
    ว่าเวลาจะคลาดเคลื่อนไปในทางไหน จะเกิดขึ้นเหมือนกับเคลื่อนที่เร็วจัดๆ หรือไม่ ยังไงกันแน่ หนังอาจจะถูกหรือผิดก็ได้

    Reply
  15. Sasithorn Waengsothorn

    เมื่อก่อนเคยคิดว่า เราอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เล็กมาก เกาะบนฝุ่นเล็กๆ ที่เราเรียกว่าดวงดาว เป็นเหมือนอะตอมเล็กๆ ในกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นๆ แล้วทั้งหมดนี้อยู่ในร่างกายสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ ก็คือ เราคงจะเล็กกว่าไวรัส เมื่อเทียบขนาดกับชีวิตที่ยิ่งใหญ่นั้น เคยสงสัยว่า ชีวิตเล็กๆ แบบจุลชีพ เขาจะมีสังคม มีการพูดคุย เป็นเพื่อนกันด้วยไหม

    Reply
  16. @chinjungxx

    ฉากที่นางเอกวิ่งขึ้นไปเอายาในตู้กระจกให้พ่อก่อนพ่อจะตายนั้นสุดยอดมุมกล้องมากในยุคนั้น

    Reply
  17. Marikaaugmep6981

    ดูเรื่องนี้ซ้ำหลายรอบมาก

    1 ชอบ special effects มาก ในตอนนั้นรู้สึกว่าตื่นตาตื่นใจมาก

    2 โลกและมนุษย์โลกเป็นเป็นเพียงเศษเสี้ยวธุลีเล็กๆของจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาล ถ้าไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดอีก คงจะเป็นการสูญเปล่าที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง และผมคิดว่าธรรมชาติคงไม่น่าจะยอมให้มีการสูญเปล่าดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นแน่

    3 ถ้าเรายังมองไม่เห็นและไม่ยอมรับความจริงที่ว่าโลกและมนุษย์โลกเป็นเป็นเพียงเศษเสี้ยวธุลีเล็กๆของจักรวาล มัวแต่เห็นแก่ส่วนตัว แก่งแย่ง หาผลประโยชน์ส่วนตัว รบราฆ่าฟัน หรือมัวเมาพอใจกับสิ่งที่เรามีอยู่แทนที่จะร่วมมือร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวมุ่งพัฒนาจิตใจควบคู่ไปกับวิทยาการให้สูงยิ่งๆ ขึ้น ถ้ามีเผ่าพันธ์อื่นในจักรวาลที่พัฒนาไปไกลทั้งทางด้านจิตใจ และวิทยาการ โลกคงไม่ใช่สถานที่ที่น่าสนใจสำหรับเขาเหล่านั้น อาจผ่านมาดูแล้วก็เลยไปอารมณ์คงคล้ายกับเราไปเที่ยวที่สวนสัตว์ เราก็คงถูกปล่อยให้อยู่อย่างเดียวดายตามประสามนุษย์โลก จนกว่าเราจะสามารถยกระดับจิตใจและวิทยาการให้อยู่ในระดับเดียวกัน
    หรือไม่ก็ค่อยๆสูญสลายไปตามวัฎจักรธรรมชาติ

    4 ศาสนาและความเชื่อ กับวิทยาศาสตร์ อาจมีส่วนที่ intersect กันอยู่มากเพียงแต่เราอาจยังมองไม่เห็นส่วนที่ intersect นั้นอย่างชัดเจน หรืออาจมองส่วนเห็นส่วนนั้น จากคนละมุมทำให้มีจุดที่ tune กันไม่ได้อยู่หนังเรื่องนี้ผมว่า compromise วิทยาศาสตร์กับศาสนาได้ดีในระดับนึง

    Reply
  18. Nawadol Korchitmet

    เป็นหนังที่ดีมาก ให้ทั้งข้อคิดและปรัชญาจนไม่รู้ว่าสมัยนี้จะมีอะไรเทียบได้ แม้กระทั่งอินเตอร์สเตลเลอร์ ขอบคุณโจดี้ ฟอสเตอร์ที่ทำให้หนังเรื่องนี้สุดกว่าที่ควรจะเป็น แม้ไม่ถึงกับร้องไห้ แต่น้ำตาก็ไหลในฉากที่มนุษย์ต่างดาวแปลงกายเป็นบิดาของเธอ ดูแล้วช่างอบอุ่นใจยิ่งนัก

    Reply
  19. จูน พฤฒิสาร

    นึกภาพจักรวาลที่ไม่สิ้นสุด
    เพราะถ้ามันสิ้นสุด มันก็ต้องมีขอบ
    ขอบมันทำด้วยอะไรว้า
    เมื่อมีขอบก็ย่อมมีนอกขอบ
    แล้วนอกขอบคืออะไร
    และในเมื่อมีนอกขอบ
    ก็แปลว่ายังไม่สิ้นสุดอยู่ดี
    ในเมื่อมันไม่สิ้นสุด
    ก็เหมือนกับมันไม่มีรูปนั่นเอง

    Reply
  20. สมจริง ตั้งนิมิตรมงคล

    “เรามาจากไหน
    เรามาอยู่ที่นี่ทำไม
    แล้วเราจะไปไหนต่อ”
    บางทีการไขปริศนา
    หาคำตอบเหล่านี้
    อาจช่วยให้การใช้ชีวิต
    มีความหมายยิ่งขึ้น..

    Reply
  21. ภคินี สุวรรณจินดา

    ดูหนังเรื่องนี้ แล้วมีโอกาสพาลูกไปท้องฟ้าจำลอง เค้าบรรยายถึงภาพหรือแสงที่เรามองเห็นประมาณว่า มันอาจจะเกิดขึ้นมานานแสนนานแล้ว ก่อนที่ตาเราจะมองเห็นผ่านกล้องดูดาว ซึ้งเลยค่ะ ว่าเราเป็นเพียงเศษธุลีในจักรวาล

    Reply
  22. Piyapong Jungtrakarn

    เมื่อวัยประถมศึกษา เคยดูหนังเรื่อง Contact ง่วงมากเพราะมันเป็นหนังไดอะล่อกกึ่งปรัชญา เมื่อยังเด็กสติปัญญาก็ไม่ถึง ความรู้ก็ไม่มี สมาธิยิ่งโหลยโท่ย ก็ไม่แปลกใจที่ดูไม่รู้เรื่อง เมื่อปีที่แล้วได้มีโอกาสดู Contact อีกครั้ง โอ้โห นี่มันโคตรมาสเตอร์พีซในบรรดาหนังอวกาศ ผมว่ามันดีและกระแทกเหมือนๆกับที่ Interstellar ทำเอาไว้ในยุคนี้เลย

    Reply
  23. Boonchuay Charuvajana

    บทความนี้ทำให้อยากอ่าน

    ช่วงหลังมานี้ เริ่มมีคนนำงานไซไฟดีๆมาแปลขายอีกครั้ง เท่าที่เข้าใจคิดว่ายอดขายพอไปได้ ถ้ามีงานไซไฟดีๆแบบไทยๆของคุณวินทร์มาเสริม น่าจะช่วยให้นักอ่านรุ่นใหม่สนใจกันมากขึ้น ช่วงนี้ digital transformation กำลังมาแรงและมาจริง ‘ไซไฟ’ ไม่ใช่อะไรที่ไกลตัวและเข้าใจยากอีกแล้ว หลายๆสิ่งที่เคยคิดว่ามีได้แค่ในนิยายกำลังกลายเป็นจริง นิยายไซไฟจะมีส่วนวางรากฐานความคิดให้สังคม และกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้

    Reply
  24. Chanok Thayom

    มีทฤษฎีว่าจริงๆ แล้ว เอเลี่ยนคือมนุษย์ในอนาคตกำลังมาเตือนว่าโลกจะแตกแล้ว

    Reply
  25. Changnoi Inphum

    เคยหลับตาคิดเหมือนกันครับ ว่า…

    ถ้าปราศจากโลก แล้วเราอยู่เดียวดายในอวกาศ มันเวิ้งว้าง น่ากลัว เงียบสงัด โดดเดี่ยว จนบอกไม่ถูก ความมืดไม่มีที่สิ้นสุด เท่าที่ อนุสติจะคิดได้ คิดแล้วขนลุกเลยครับ

    Reply
  26. Wallada Napombejra

    อ่านประโยคนั้นให้ลูกสาวฟัง ไม่ได้บอกมาจากไหน ลูกตอบกลับทันทีว่า นั่นมาจาก“Contact” She is a big fan of Carl Sagan

    Reply
  27. DavidGeday

    ตอนเด็กๆชอบหนังเรื่องนี้มากค่ะ คือฝันอยากทำงานแบบนางเอกเลยค่ะ ชื่นชมที่คุณใช้คำที่สื่อถึงอวกาศจริงๆ เช่น space-time และสสารมืดค่ะ

    Reply
  28. Kanthad Kuharuangrong

    จุดเล็ก ๆ จุดนั้นคือที่นี่ คือบ้าน คือพวกเรา บนจุดนั้นคือทุกคนที่เราเคยรู้จัก มนุษย์ทุกคนที่เคยมีตัวตนอยู่ รวมไว้ซึ่งความสุขสันต์และความทุกข์ทน ศาสนา แนวคิด ระบบเศรษฐกิจ นับพันนับหมื่น ทุก ๆ นักล่าและหัวขโมย ทุก ๆ วีรบุรุษและคนขี้ขลาด เหล่านักสร้าง นักทำลาย อารยธรรมต่าง ๆ กษัตราและชาวนาที่ยากชน คู่รักหนุ่มสาว เด็กน้อยที่เต็มเปี่ยมด้วยความหวัง ทุกบิดรมารดา นักประดิษฐ์ นักสำรวจ ครูอาจารย์ นักการเมืองสกปรก เหล่าดารา และผู้นำ ทุก ๆ คนบาปและนักบุญ ทุกคนในประวัติศาสตร์ของเราอาศัยอยู่ที่นี่ บนฝุ่นผงที่ลอยเคว้งท่ามกลางแสงอาทิตย์

    โลกของเรา เป็นดั่งเวทีเล็ก ๆ ท่ามกลางโรงละครจักรวาลอันกว้างใหญ่ จินตนาการถึงเลือดเนื้อที่หลั่งไหล เชือดเฉือนโดยเหล่านายพลและจักรพรรดิ ที่หวังความรุ่งโรจน์อันชั่วคราวบนเศษเสี้ยวแห่งฝุ่นผง จินตนาการถึงการเยี่ยมเยือนที่เหี้ยมโหดจากผู้อาศัยจากมุมนึงของจุดนี้กระทำต่ออีกมุมหนึ่ง พวกเขาเข้าใจผิดกันมามากแค่ไหน พวกเขากล้าดีอย่างไรที่จะเข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ความเกลียดชังอันแรงกล้าและการวางตัวเองสำคัญหลงคิดว่าเรามีอภิสิทธิ์ในจักรวาล ทั้งหมดถูกท้าทายด้วยจุดจาง ๆ จุดนี้

    โลกของเรา เป็นจุดเล็ก ๆ หลมซ่อนอยู่ในเอกภพที่มืดมิด ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ความเคว้งคว้าง ไม่มีสิ่งรับประกันว่าจะมีใคร จากที่ไหน มาช่วยเราจากการกระทำของตัวเราเอง ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเรา เคยมีคนพูดไว้ว่าดาราศาสตร์นั้นทำให้เรารู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ผมขอเพิ่มว่ามันคือการเข้าถึงตัวตน คงไม่มีสิ่งใดที่จะแสดงความโง่เขลาของความคิดมนุษย์ไปได้มากกว่าภาพถ่ายโลกของเราจากระยะที่ไกลแสนไกลนี้ มันคือความรับผิดชอบของเรา ที่จะถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อกัน เพื่อปกป้องและหวงแหน จุดเล็ก ๆ จุดนี้

    “บ้านหลังเดียวที่เรารู้จัก”
    – คาร์ล เซแกน

    Reply
  29. Wyrazugde Kumkyo

    ผมคนหนึ่งไม่เชื่อว่าดาราจักรต่างๆเกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่า (ไม่มีอะไรเลย?) หรือจู่ๆโลกก็มีสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้เอง หรือมีน้ำมากมายในโลกได้เอง มันเหมือนเขาโยงไปหาสิ่งศักดิ์สิทธ์มากกว่าวิทยาศาสตร์

    Reply
  30. Joanna Riggs

    Hi,

    Nothing better than the internal combustion engine. Proven technology for over 100 years.
    Joanna

    Reply
  31. @chaiyootkmitnb

    ส่วนตัวผมมองว่าเรื่องนี้คือหนึ่งในหนังแนววิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยครับ เคยดูมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนนี้ก็มีซื้อแผ่นเก็บไว้ ยังมีอีกเรื่องที่ชอบก็คือ Prometheus

    Reply
  32. Jasmine Hay

    I agree with everything you said I would never buy an ev pouring money down the drain

    Reply
  33. Joanna Riggs

    Hi,

    I just visited muchroom.online and wondered if you’d ever thought about having an engaging video to explain what you do?

    Our videos cost just $195 for a 30 second video ($239 for 60 seconds) and include a full script, voice-over and video.

    I can show you some previous videos we’ve done if you want me to send some over. Let me know if you’re interested in seeing samples of our previous work.

    Regards,
    Joanna

    Reply
  34. Joanna Riggs

    Hi,

    I just visited muchroom.online and wondered if you’d ever thought about having an engaging video to explain what you do?

    Our videos cost just $195 for a 30 second video ($239 for 60 seconds) and include a full script, voice-over and video.

    I can show you some previous videos we’ve done if you want me to send some over. Let me know if you’re interested in seeing samples of our previous work.

    Regards,
    Joanna

    Unsubscribe: https://removeme.live/unsubscribe.php?d=muchroom.online

    Reply
  35. Amelia Brown

    Hi there,

    We run a YouTube growth service, which increases your number of subscribers both safely and practically.

    – We guarantee to gain you 700-1500+ subscribers per month.
    – People subscribe because they are interested in your channel/videos, increasing likes, comments and interaction.
    – All actions are made manually by our team. We do not use any ‘bots’.

    The price is just $60 (USD) per month, and we can start immediately.

    If you have any questions, let me know, and we can discuss further.

    Kind Regards,
    Amelia

    Reply
  36. Joanna Riggs

    Hi,

    I just visited muchroom.asia and wondered if you’d ever thought about having an engaging video to explain what you do?

    Our prices start from just $195.

    Let me know if you’re interested in seeing samples of our previous work.

    Regards,
    Joanna

    Reply
  37. Joanna Riggs

    Hi,

    I just visited muchroom.asia and wondered if you’d ever thought about having an engaging video to explain what you do?

    Our prices start from just $195.

    Let me know if you’re interested in seeing samples of our previous work.

    Regards,
    Joanna

    Unsubscribe: https://removeme.live/unsubscribe.php?d=muchroom.asia

    Reply
  38. Joanna Riggs

    Hi,

    I just visited muchroom.asia and wondered if you’d ever thought about having an engaging video to explain what you do?

    Our videos cost just $195 for a 30 second video ($239 for 60 seconds) and include a full script, voice-over and video.

    I can show you some previous videos we’ve done if you want me to send some over. Let me know if you’re interested in seeing samples of our previous work.

    Regards,
    Joanna

    Reply

Submit a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

อ่านต่อกันมากที่สุด

  • อาหาร
ขนมมันสำปะหลัง

ขนมมันสำปะหลัง ต้องใช้พันธุ์สำหรับทำขนมเท่านั้น ถามจากแม่ค้าในตลาดได้เลยว่า  มัน 5 นาที...

แกงฟักหม่นกระดูกอ่อน

บ่าฟักหม่น บางถิ่นเรียกว่า บ่าฟักขี้หมู บ่าฟักจิ๋ง เป็นที่นิยมกินกันมาก ต้มยำทำแกงได้สารพัด เช่น...

Seraphinite AcceleratorOptimized by Seraphinite Accelerator
Turns on site high speed to be attractive for people and search engines.